วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ห้องเรียนออนไลน์ครูโลอีส

ห้องเรียนออนไลน์วิชาภาษาอังกฤษกับคุณครูโลอีส

โรงเรียนวังกระแสวิทยาคม

พัฒนาครูจิรยุทธ ปิตะแสง 
นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู


เรื่องที่จะนำมาเสนอในวันนี้คือ Present Simple Tense
1.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูดเช่น
Ann watches television.
Ron takes a bath in the bathroom.
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน
หรืออนาคตเช่น
Tiger is a dangerous animal.
The earth moves around the sun.
3.    ใชักับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำเดือน


ทำไมคำกริยาต้องเติม “ s ” หรือ ” es “
Read aloud.
1. I drink water every day.
2. You drink water every day.
3. We drink water every day.
4. They drink water every day.
5. He drinks water every day.
6. She drinks water every day.
7. It drinks water every day.
นักเรียนจะสังเกตเห็นว่าในข้อ 5 – 6 – 7 คำกริยา drink เติม s      นักเรียนลองเดาซิคะว่าเพราะอะไรบางคนก็ตอบถูกค่ะว่าเพราะประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 คือ He She และ It      ค่ะ นักเรียนต้องจำให้ได้นะคะ

กฎการเติม หรือ es หลังคำกริยา
1.  คำกริยาธรรมดาทั่วๆไปเติม S ได้ทันที เช่นคำว่า work – works , live – lives
2.  คำกริยาที่ลงท้ายด้วย s , ss , sh , ch , x และ o ให้เติม es เช่น go – goes ,
watch – watches , catch – catches
3.  คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม es เช่น cry – cries ,
study – studies

Present Simple Tense ในรูปประโยคบอกเล่า
ประโยคบอกเล่า หมายถึงประโยคที่พูดหรือเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เช่น ฉันดื่มน้ำทุกๆวัน ในภาษาอังกฤษรูปกริยาที่ใช้ต้องเป็นช่องที่ 1 ( V .1 ) ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาต้องเติม s หรือ es ส่วนประธานพหูพจน์ ( รวมทั้ง I และ You ) กริยาไม่ต้องเติมให้คงรูปเดิม
โครงสร้างประโยค Present Simple Tense

   ประธาน                     กริยา                                 กรรม                              คำบอกเวลา

Present Simple Tense ในรูปประโยคปฏิเสธ
       ถ้าในประโยคบอกเล่านั้นมีเพียงกริยาแท้ เมื่อต้องการเปลี่ยนให้เป็นปฏิเสธให้นำ Verb to do ( do not , does not ) วางไว้หลังประธานมีรูปแบบดังนี้
             ประธาน            do          not               กริยาแท้ช่องที่1
            does     not
    do not ( don’t ) ใช้กับประธานพหูพจน์ได้แก่ I , You , We , They
does not ( doesn’t ) ใช้กับประธานเอกพจน์ได้แก่ He , She , It
เช่น          ประโยคบอกเล่า           I live in London.
ประโยคปฎิเสธ              I don’ t live in London.
ประโยคบอกเล่า            He lives in Canada.
ประโยคปฎิเสธ              He doesn’ t live in Canada.
ข้อสังเกต    1.    เมื่อใช้ does not ( doesn ‘ t ) กับประธานเอกพจน์ คำกริยาที่เติม s หรือ es ให้ตัด s หรือ es ทิ้งและคงเหลือคำกริยาช่องที่ 1 ซึ่งไม่ต้องเติมอะไรทั้งสิ้น
2.    ส่วน do not ( don ‘t )ใช้กับประธานพหูพจน์คำกริยาให้คงเดิมไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ

Present Simple Tense ในรูปประโยคคำถาม
ประโยค Present Simple Tense ที่มี Verb to be เมื่อทำเป็นคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประธาน แต่ถ้าประโยคนั้นๆไม่มี Verb to be ให้ใช้ Verb to do ( do , does ) วางไว้หน้าประธาน
มีรูปแบบดังนี้
Do
    ประธาน   กริยาแท้ช่องที่ 1 ?
Does
เช่น            ประโยคบอกเล่า : They live in London.
ประโยคคำถาม : Do they live in London ?
ประโยคบอกเล่า : He works in an office.
ประโยคคำถาม : Does he work in an office ?
Do    ใช้กับประธานพหูพจน์ มี I , You , We , They
Does ใช้กับประธานเอกพจน์ มี He , She , It
ข้อสังเกต 
1.การใช้ Verb to do ในประโยคคำถามเมื่อใช้ Does กับประธานเอกพจน์ให้ตัดs หรือ esข้างหลังคำกิยาทิ้งและคงไว้แต่คำกริยาแท้ ( V.1)
2.แต่ถ้าใช้ Do กับประธานพหูพจน์คำกริยาคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
Verb Tenses
(Present Tenses )

 ดังได้กล่าวมาในบท Verb Tense ( Types ) แล้วว่า Verb Tense มีทั้งหมด 12 รูปใน active voice ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้  Present tenses  ทั้ง 4 รูปคือ Simple present , Present progressive, Present perfect,และ Present perfect progressive.
1.Simple Present Tense
โครงสร้าง    
Subject auxiliary verb ( do )  main verb ( base )
ประธาน กริยาช่วย ( do) กริยาหลักช่อง 1
ดังตัวอย่าง
 ประธานกริยาหลัก  
  บอกเล่า
Iam French.
You, we, theyare French.
He, she, itis French.
–  ปฏิเสธ
Iamnotold.
You, we, theyarenotold.
He, she, itisnotold.
? คำถาม
AmI late?
Areyou, we, they late?
Ishe, she, it late?
การใช้     ใช้  Simple Present tense เมื่อ
  • เป็นการกระทำ/เหตุการณ์ที่เป็นจริงโดยทั่วไป เช่น
    The Moon goes round the Earth.
    Birds fly.
    Sugar is sweet.
  • เป็นการบรรยายการกระทำ/เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูด
    John waits patiently while Bridget books the tickets.
    He needs help right now.
    I‘m here now.
    The car is clean
  • เป็นกระทำที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นกิจวัตร ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  เช่น
    He gets up early every day.
    play football every Sunday.
  • เป็นการกระทำที่กำหนดแน่นอนว่า จะกระทำในอนาคต   โดยใช้ ร่วมกับ adverb หรือ adverbial phrase เช่น
    The doors open in 10 minutes.
    John arrives on Tuesday.
มีข้อยกเว้นดังนี้
  • สำหรับประโยคบอกเล่า ( positive ) ปกติจะไม่ใช้กริยาช่วย   ( นอกจากต้องการเน้นเช่น  I do love you )
  • สำหรับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3  ( he, she, it ) เติม  s ที่กริยาหลัก และเติม  es ที่กริยาช่วย
  • สำหรับ verb to be ที่เป็นกริยาหลัก    ปกติจะไม่มีกริยาช่วย แม้ในประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถาม
ตามตัวอย่างในตารางต่อไปนี้
 ประธานกริยาช่วย กริยาหลัก 
บอกเล่า
I, you, we, they  likecoffee.
He, she, it  likescoffee.

ปฏิเสธ
I, you, we, theydonotlikecoffee.
He, she, itdoesnotlikecoffee.
?
คำถาม
DoI, you, we, they likecoffee?
Doeshe, she, it likecoffee?
verb to be ที่เป็นกริยาหลัก    ปกติจะไม่มีกริยาช่วย แม้ในประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถามดังนี้



วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องของ TENSE






                                              สวัสดีนักเรียนของครูที่น่ารักทุกคนนะครับ
                                 ครูมีชื่อว่าจิรยุทธ ปิตะแสง เรียกครูว่าปิตะก็ได้ครับ
         กำลังศึกษาอยู่คณะครุศาสตร์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนครพนม
                                       เรามาทำความเข้าใจกับ TENSE กันดีกว่า










 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!



Tense ใหญ่ มี 3 Tense

1. Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. Past Tense เป็นเรื่องราวในอดีต
3. Future Tense เป็นเรื่องราวในอนาคต
 

 

 
     
  
       มาเริ่มกันที่...
  
       ก่อนอื่นเราดูตารางคร่าวๆ ก็จะเห็นว่าตารางนี้ มี 4 คอลัมน์ กับอีก 3 แถว รวมทั้งหมดไฝว้กันออกมาได้เป็น 12 ช่อง
       โดยที่หัวตารางด้านบนในแนวตั้ง จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า tense จะมี 4 อัน คือ
  
       1. Simple  2. Continuous  3. Perfect  4. Perfect Continuous
  
       ส่วนหัวตารางด้านซ้ายในแนวนอนจะเป็น time (เวลา) จะมี 3 อัน คือ
  
       1. Present ( ปัจจุบัน)  2. Past (อดีต)  3. Future (อนาคต)
  
       ***ค่อยๆ ดูไปด้วยกันทีละคอลัมน์ในแนวตั้ง เวลาอ่านชื่อ tense ก็อ่านช่องด้านซ้ายก่อน แล้วก็ต่อด้วยช่องด้านบน
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องแรกคือ Simpleง่ายสุดเลย
       
       • Present Simple เป็นแบบที่เราเรียนกันมาง่ายๆ เลย “Sub + V1” (เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์)
  
       • Past Simple ก็ง่ายอีก “Sub + V2” ไปเลย ในเมื่อ V2 มันก็คือกริยาที่ใช้สำหรับในอดีตอยู่แล้ว
  
        Future Simpleเอา “Sub + will + Vinf” โดยที่คำว่า will แปลว่า "จะ" มันจะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยในประโยค ตามด้วย Vinf ก็คือ Verb ที่ไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น หรือแบบที่เราจำกันมาตลอดว่า Sub + will + V1 นั้นแหละ เราก็จำว่า ถ้าจะบอกว่า จะทำนู้น จะไปนี่ จะเอานั่น เราก็แค่ใช้ “will + verb” ข้างหลังที่ไม่ต้องไปเติมไรให้มันอีก เพราะ will บอกไปหมดแล้วว่ามันเป็นอนาคต เราเหลือแค่ต้องบอกว่าจะทำอะไร แค่นั้นพอ อย่าเยอะ!
  
       ***ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I will eating. I will eaten. ผิดทันที !!!!!!!!!!***
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องที่สองคือ Continuous รูปประโยคของมันจะเป็น V. to be + Ving
       (Verb to be ก็คือ is am are เป็น อยู่ คือ ที่ท่องกันมานั้นแหละ)
  
       "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to be + Ving โดยที่เราผันตัว V.to be ไปตามเวลาของมัน แต่ Ving คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Continuous คือ Ving"
   
        Present Continuous ก็เลยจะเป็น Sub + is/am/are + Ving ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I'm kicks. I'm loves. ผิดทันที!!! แต่ถ้าเจอ I'm kicked. I'm loved. อาจจะไม่ผิดนะ เป็นรูปประโยคแบบ Passive Voice ต้องแปลความหมายเอา แต่พวก I'm said....ผิดทันที
  
       • Past Continuous รูปประโยคแบบเดิมเปี๊ยบแต่เราผันตัว is/am/are ให้กลายเป็นอดีตไปซะ ก็จะได้เป็น Sub + was/were + Ving
  
       • Future Continuous พอเป็นอนาคต เราก็ต้องใช้ “will” มาบอกว่าเรา "จะทำ" แล้วหลัง will มันต้องไม่เปลี่ยน ไม่เติมอะไร เราก็เลยได้เป็น “Sub + will + be + Ving” และ “be” ตรงกลางนั่นก็มาจาก V. to be ไง จำได้มั้ยรูปประโยคต้องเป็น V.to be + Ving ตลอด
  
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Continuous ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน
       จะมีกรอบสีเหลืองที่เป็น V.to be ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีส้ม คือ Ving ตลอด !!!!!!!!!
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องถัดมาคือ Perfect รูปของมันจะเป็น V. to have + V3 (ที่ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยากเลย)
  
       "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to have + V3 โดยที่เราผันตัว V.to have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Perfect คือ V3"
   
       • Present Perfect ก็เลยเป็น "Sub + has/have + V3" ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She,I t, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You, We, They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have"
  
       • Past Perfect แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น "Sub + had + V3" อุต๊ะ ง่ายจิมจิม!!
  
       • Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ..." เหมือนเดิม ได้เป็น "Sub + will + have + V3" เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกต่างหาก
  
       ***และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!! ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ..... หรือ will had.....  หรือ will v3..... ผิดทันที !!!!!!!!***
   
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน 
       จะมีกรอบสีพีชที่เป็น V.to have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด !!!!!!!!!
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        สุดท้ายยยยยก็คือ Perfect Continuous
       
       "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Perfect Continuous มันก็เลยต้องมีทั้ง Perfect คือ have + V3 แล้วก็ Continuous ก็คือ Ving ด้วย รูปประโยคของมันก็เลยเป็น Sub + V. to have + V.3 (ซึ่งในที่นี้คือ been ซึ่งเป็นช่อง 3 ของ be) + Ving"
  
       • Present Perfect Continuous จากรูปแบบมันเราเลยได้เป็น "Sub + has/have + been + Ving" โดย has/have been ก็บอกความเป็น perfect ส่วน Ving ก็บอกความเป็น Continuous จับมาต่อกัน
  
       • Past Perfect Continuous จับ has/have มาทำเป็นอดีตซะ ที่เหลือไม่ต้องเปลี่ยน ก็ได้เป็น “Sub + had + been + Ving” ซึ่ง had ก็บอกว่าเป็นอดีต แล้ว had+been ก็บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous ครบ!!!
  
       • Future Perfect Continuous เป็น future เมื่อไหร่ ใช้ will เมื่อนั้น! มี will เมื่อไหร่หลัง will เป็น have เท่านั้น เราก็เลยได้ว่า “Sub + will + have + been + Ving” โดย wil บอกความเป็นอนาคต have been บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous !!!!!
  
       ***ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ใช้***
       will + has + been + Ving ผิดทันที!
       will + been + Ving ผิดทันที!
       will + have + be + Ving ผิดทันที !!!!!!!
  
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect Continuous ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ปัจจุบัน อดีต อนาคต
       จะมี Sub + V.to have ในกล่องสีพีช + been แล้วตบท้ายด้วย Ving ตลอด !!!!!!!!!!!